
. g5 @, L% o/ I/ ?; W4 M" p/ l# c3 a
W! u0 ?8 H6 r0 ]* j0 G
เรื่อง กฤษณาสอนน้อง เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่เคยมีผู้ใดทำการวิเคราะห์ที่มาของวรรณกรรมเรื่องนี้ จนกระทั่งมีการแต่งเป็นหนังสือในรัชกาลที่ 3 และกลายเป็นวรรณคดี คำฉันท์ที่สำคัญเล่มหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นคนแรกที่ทรงวิจารณ์ที่มาของเรื่องนี้อย่างถูกต้องและสรุปได้ในที่สุด ว่านำมาจากเรื่อง มหาภารตะ ของอินเดีย เรื่องเดิมเป็นรูปแบบคำสนทนาระหว่างหญิงสองคนที่เป็นเพื่อนกัน
7 p# o. C+ X% ]# J: Z- R
เรื่อง กฤษณาสอนน้อง เป็นวรรณกรรมประเภทคำฉันท์ เชื่อได้แน่นอนว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ต้นฉบับเดิมหายสูญไป ระยะเวลาที่แต่งจะเป็นสมัยอยุธยาตอนต้น หรืออยุธยาตอนปลาย เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไปได้ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลสองประการ คือ ( {# O$ r/ `% A5 t! I. ~" q! D
1 n' h- y; v: @) r4 K" o$ f
ประการที่หนึ่ง ไม่มีต้นฉบับตัวเขียนสมัยอยุธยาหลงเหลืออยู่เลย
) z1 c Z; ]* A
ประการที่สอง เรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์นี้มีตกทอดมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในรูปแบบของ วรรณกรรมมุขปาฐะ คือท่องจำและถ่ายทอดกันมาด้วยการเล่าปากเปล่า ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องที่ท่องจำกันมาจึงผิดเพี้ยนกันไป และหายตกหล่นไปมากต่อมาก จะเอาเนื้อหาสาระที่บริบูรณ์เป็นแก่นสารก็ไม่ได้ ประกอบทั้งภาษาสำนวนที่แต่งก็ไม่ได้อยู่ในขั้นดี กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นสำนวนบ้านนอก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรด ทรงพระราชดำริว่าเนื้อเรื่องดี แต่ภาษาไม่ดีพอ น่าจะแต่งใหม่ให้ดีกว่านั้น จึงทรงอาราธนาให้ กวีแก้วแห่งรัตนโกสินทร์ คือ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ ทรงแต่งใหม่ทั้งหมด แต่รักษารูปแบบคำประพันธ์คือคำฉันท์ไว้ตามเดิม ความปรากฏในบทปรารถเบื้องต้นของ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ซึ่งกรมหมื่นนุชิตชิโนรส (ต่อมาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส) ทรงบรรยายไว้ว่า
แต่ตูผู้จะนิพนธ์ยุบลบทบรรหาร
แห่งราชโยงการ ดำรัส + {/ u7 A8 y8 ?/ H
/ z4 V+ r/ i& t$ e; K: J2 G
ให้รังสฤษดิกฤษณาสุภาษิตสวัสดิ์ ' y9 ~2 D8 F2 s+ L" h8 r$ \
เลบงฉันท์รำพันอรรถ ภิปราย
แปลกแปลงแสดงพจนเพรงเชลงลักษณะบรรยาย 2 r0 s, q+ h+ k' G* X
ชาวชนบทธิบาย ประดาษ 2 j* n8 P' m5 M) s V
% W9 r/ K. V5 _5 A8 ]- Q
ไป่สมเสนอบเสมอสมานมุขประกาศ
อโยธยาคณาปราชญ์ ทั้งมวญ
รังสรรค์สารพอจักขานจักคู่พจนควร ! i8 }( s" ~4 T7 @0 E
เสนอสนองสำนวนเนือง กระวี ( X' T- i# S' b3 e: k0 b+ K
หวังโอวาทอนุสาสนุสนธิสกลสตรี , Y1 R: v* g. d1 u
แสวงสวามิภักดี ฤวาย (1)
ความจริงในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีก็มีกวีฝีปากดีคือ พระยาราชสุภาวดี ซึ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ไปช่วยราชการเจ้าพระยานครที่เมืองนครศรีธรรมราช ได้แต่งกฤษณาสอนน้องขึ้นใหม่ มีภิกษุอินท์ เมืองนครศรีธรรมราชเป็นผู้ช่วย แต่จะแต่งแน่นอนในปีใดไม่ทราบ เพราะเรื่องราวของพระยาราชสุภาวดีที่ออกไปกำกับราชการเมืองนครศรีธรรมราชนั้นเป็นที่รู้จักกันแต่เพียงว่าอยู่ในสมัยกรุงธนบุรี อย่างไรก็ดี กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ สมัยกรุงธนบุรีดังกล่าวนี้มิได้ปรากฏ ณ ที่ใดๆ จึงไม่มีผู้ใดอ้างถึงในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงเป็นที่แน่นอนว่ากรมหมื่นนุชิตชิโนรส มิได้ทรงทราบหรือแม้แต่จะทรงระแคะระคายว่ามี กฤษณาสอนน้องคำฉันท์สมัยธนบุรี เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่แล้ว แม้ในสมัยต่อมาหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วช้านานก็ยังไม่มีใครรู้เรื่องการแต่งกฤษณาสอนน้องสมัยธนบุรี จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2489 กรมศิลปากร ได้ต้นฉบับเรื่องนี้มาและตีพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรก เรื่องจึงปรากฏว่า ก่อนที่กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส จะทรงนิพนธ์กฤษณาสอนน้องคำฉันท์อันเลื่องลือมาจนทุกวันนี้นั้น มีกวีอื่นแต่งฉบับสมบูรณ์เช่นเดียวกันที่เมืองนครศรีธรรมราช แต่งมาก่อนแล้วอย่างน้อยที่สุดก็ 60 ปีขึ้นไป เพราะ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ฉบับพระยาราชสุภาวดีและภิกษุอินท์นั้นแต่งเมื่อ พ.ศ. 2319 ส่วนฉบับกรมสมเด็จพระปรมานุชิติโนรสแต่งในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2397 (ปีที่รัชกาลที่ 3 ขึ้นครองราชย์) ถึง พ.ศ. 2377 อันเป็นปีที่รัชกาลที่ 3 ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ เสร็จเรียบร้อยและโปรดเกล้าฯ ให้จารึกเรื่องต่าง ๆ บนแผ่นหินอ่อน ประดิษฐานไว้ที่วัดนั้น กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ได้จารึกไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ เพราะฉะนั้นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (สมัยเมื่อทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส) จะต้องทรงแต่งกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ในช่วง 10 ปีนี้ คือระหว่าง พ.ศ. 2367 - 2377 อย่างแน่นอน * r6 e! b* S5 Z+ J5 u
ส่วนเรื่องที่ว่า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ จะได้ทรงพบเห็นฉบับนครศรีธรรมราชมาก่อน และทรงแต่งเลียนแบบนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพระยาราชสุภาวดีไม่ใช่กวีบ้านนอกอย่างที่กรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ ทรงอ้างถึงในคำปรารภต้นเรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของพระองค์ท่านอย่างแน่นอนและอีกประการหนึ่ง กรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ ทรงเป็นกวีเอกของชาติไทย และทรงเป็นเอตทัคคะในการแต่งฉันท์เป็นที่รู้กันทั้งแผ่นดิน การที่จะทรงแต่งเลียนแบบเลียนสำนวนของกวีผู้อื่นจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะเท่ากับทรงทำลายพระเกียรติยศและความภาคภูมิพระทัยของพระองค์ให้สิ้นไป กวีระดับชาติอย่างพระองค์ย่อมจะทรงทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด แต่ในคำนำหนังสือกฤษณาสอนน้องฉบับพระยาราชสุภาวดีและภิกษุอินท์ที่กรมศิลปากรตีพิมพ์ เมื่อ พ.ศ. 2498 มีข้อความบางตอนซึ่งแสดงความอยุติธรรมต่อกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสอย่างยิ่ง คือ
"...จึงน่าจะเห็นว่า ฉบับพระนิพนธ์สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส...อาจทรงแก้ไขดัดแปลงมาจากฉบับที่ตีพิมพ์ในสมุดเล่มนี้ ดังที่ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้เป็นคำชี้แจงในเบื้องต้น แห่งคำฉันท์กฤษณาสอนน้องฉบับสำนวนพระองค์ท่าน" (2) - L+ t" D7 ^/ t, o
7 y) l2 P/ v0 G
เรื่องนี้มีผู้ไม่เห็นด้วยมากมาย และมีผู้ตอบโต้บางท่าน เช่น พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี มหาเถระ) ได้เขียนโต้แย้งคำนำของกรมศิลปากรไปแล้วอย่างละเอียดพิสดาร เรื่องก็ยุติกันไป : R$ F" z1 ^5 z. e6 {2 [
0 N0 u1 G2 q# s$ e, l
ปัญหาเรื่องที่มาของเรื่องกฤษณาสอนน้องนี้ ดูจะไม่เป็นปัญหาที่จะต้องคำนึงถึงในสมัยอยุธยาตลอดมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะผู้อ่านต่างก็คิดแต่เพียงว่าคงจะเป็นนิทานโบราณ หรืออย่างวิเศษก็คงเป็นชาดกเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น มิได้คิดเลยไปถึงว่าถ้าเป็นชาดก เหตุใดแก่นเรื่องจึงเป็นเรื่อง ผู้หญิงสอนผู้หญิง ในเรื่องการปรนนิบัติสามี แทนที่จะเป็นเรื่องสอนธรรมะในแง่ใดแง่หนึ่ง อันจะเป็นลักษณะของชาดกทั่วไป กาลล่วงเลยมาจนถึงรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเฉลียวพระทัยว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีที่มาจากชาดก เพราะเนื้อหาสาระของเรื่องไม่ชวนให้เข้าใจไปในทำนองนั้น ได้โปรดเกล้าฯ ให้ พระเทพโมลี ผู้เป็นปราชญ์ทางพระไตรปิฎกช่วยสอบดูในพระไตรปิฎก ก็ได้ความว่าใน นิบาตชาดก เรื่อง กุณาลชาดก อันเป็นชาดกขนาดยาวประกอบด้วยเรื่องสั้น ๆ หลายเรื่องมารวมกัน เรื่องสั้นแต่ละเรื่องในกุณาลชาดกนั้นล้วนกล่าวถึงความชั่วของผู้หญิง ในแง่ต่าง ๆ เรื่องของนางกฤษณาตามท้องเรื่องว่ามีสามี 5 คน นั้นมีอ้างถึงจริงในกุณาลชาดก เรียกชื่อตามบาลีว่า กัณหา และตามเรื่องในกุณาลชาดกมีข้อความกล่าวถึงนางในฐานะหญิงชั่ว และปรักปรำนางว่ามักมากในกามวิสัยขนาดมีสามีถึง 5 คนแล้วยังไม่เพียงพอ กลับทำชู้กับชายเปลี้ยอีก ฉะนั้นนางกัณหาในกุณาลชาดกย่อมไม่ใช่ตัวอย่างของหญิงที่ดีแน่นอน เมื่อตัวเองเป็นคนชั่วแล้วจะไปสั่งสอนคุณธรรมความดีแก่ผู้อื่นกระไรได้ ด้วยเหตุนี้สรุปตามเหตุผลได้ว่า เรื่องนางกัณหาหญิงชั่วในกุณาลชาดกย่อมไม่ใช่ที่มาของกฤษณาสอนน้องคำฉันท์แน่ๆ
เมื่อวินิจฉัยจากกุณาลชาดกไม่ได้ พระเทพมุนี พระราชาคณะผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งได้ถวายความเห็นว่า เรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์นั้น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ อาจทรงนำเรื่องนางกัณหาในกุณาลชาดกที่มีลักษณะเป็นหญิงเลวนั้นมาเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ ให้มีคุณลักษณะเป็นหญิงดี สามารถสั่งสอนคนอื่นให้เป็นคนดีเช่นตนได้ แต่เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเห็นด้วย & w: g( V. U5 h, M& W
ในที่สุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรึกตรองด้วยพระปรีชาญาณ หาสาเหตุนอกพระบาลี และมีพระราชดำริว่าคงเป็นเรื่องที่มีมาในวรรณคดีสันสฤกตมากกว่า ถ้าเป็นไปตามแนวพระราชดำรินี้ บางทีอาจพบเรื่องนางกฤษณาในมหากาพย์มหาภารตะก็ได้ เพราะเรื่องมหาภารตะอันมีความยาวถึงแสนโศลกนั้นมีตัวนางเอกชื่อนางกฤษณา หรือเทราปที ทรงพระราชวินิจฉัยว่า
5 [& O- u6 k T& i+ _% R
"...คิดเห็นว่าเรื่องต้นของนางกฤษณาสอนน้องคงจะมาจากที่อื่น เป็นแต่ชื่อเสียงจะขาดวิ่น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตจะทรงแต่งให้บริบูรณ์ดี จึงได้เก็บชื่อในบาลีมาซ่อมแซมลง ดีร้ายจะมีมาแต่หนังสือมหาภารตะ ซึ่งเป็นเรื่องรวบรวมนิทานเก่าและลัทธิต่างๆ ที่ถือกันอยู่ในมัชฌิมประเทศก่อนเวลาพุทธกาล จึงได้อ่านหนังสือมหาภารตะเสาะแสวงหาความจริงอันนี้ จนบัดนี้มาพบเรื่องนั้นสมประสงค์แล้ว จะขอยืนยันได้ว่า กฤษณาสอนน้องที่มาแต่งเป็นคำฉันท์นั้นไม่ได้มาจากบาลี เราคงจะได้มาจากพราหมณ์ ซึ่งมาเป็นครูบาอาจารย์ของเราแต่ก่อนเหมือนเรื่องรามเกียรติ์เป็นแน่..." (3) ; V, ?: t# R; }1 x
l r: D7 [0 a8 l% N/ b7 {. s% A1 j
พระบรมราชวินิจฉัยนี้ได้ไขแสงสว่างต่อปัญหาที่ไม่มีใครทราบมาหลายศตวรรษให้เป็นที่รู้อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถติดตามเรื่องกฤษณาสอนน้อง ไปจนถึงที่สุด ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงชี้ทางให้โดยเริ่มต้นจากจุดที่ถูกต้อง คือ เริ่มที่เรื่องมหาภารตะนี้เอง
d5 n: D F" [! T
มหากาพย์มหาภารตะ วนบรรพ เล่าเรื่องว่า นางกฤษณา หรือ นางเทราปที ผู้เป็นราชธิดาแห่งท้าวทุรบทแห่งนครปัญจาล ได้เป็นมเหสีของกษัติย์ปาณฑพ 5 องค์ คือ ยุธิษฐิระ ภีมะ อรชุน นกุล และ สหเทพ ต่อมากษัติย์พี่น้องทั้ง 5 องค์แพ้พนัน ทุรโยธน์ เจ้าชายแห่งเชื้อสายเการพ อันอยู่ในราชสกุลจันทรวงศ์เดียวกัน ต้องถูกเนรเทศไปเดินป่า 12 ปี ปีที่ 13 ต้องปลอมตัวมิให้ใครจำได้ ถ้ามีผู้จำได้ต้องเดินป่าอีก 14 ปี กษัตริย์ปาณฑพทั้งห้า พร้อมด้วยนางกฤษณาได้ร่อนเร่พเนจรไปจนถึงภูเขาหิมาลัย และเข้าไปสู่เมืองอลกาซึ่งเป็นนครหลวงของท้าวไพศรพณ์ (หรือเวสสุวัณณ์) ส่วนอรชุนเดินทางต่อไปจนถึงสวรรค์ชั้นตรัยตรึงศ์ของพระอินทร์ หลังจากนั้นก็เดินทางกลับมายังป่าชื่อ กามยกะ ได้รับการต้อนรับจากฤษีและพราหมณ์ ทั้งปวงที่อยู่ในป่ากามกยะเป็นอย่างดี ฝ่ายพระกฤษณะ (นารายณ์อวตารปางที่ 8) ซึ่งครองนครทวารกา หรือทวารวดี ทราบข่าวก็มาเยี่ยมโดยพานางสัตยภามา มเหสีคนโปรดผู้เป็นราชธิดาของพระเจ้าสัตราชิตมาด้วย (พระกฤษณะมีชายาหมื่นหกพันนาง และทรงแบ่งภาคเป็นรูปพระกฤษณะเหมือนกันจำนวนหมื่นหกพันองค์ เพื่อให้ชายาทุกคนเข้าใจว่าพระองค์เป็นสามีของนางแต่ผู้เดียว) ทั้งนางกฤษณาและนางสัตยภามาต่างก็เป็นเพื่อนสนิทกันและถ้อยทีถ้อยปราศรัยสนทนากัน บทสนทนาของนางทั้งสอง ณ ป่ากามยกะนี้เป็นตอนเล็กๆ ตอนหนึ่งที่รวมอยู่ในเรื่องใหญ่คือมหาภารตะ ข้อความตอนนี้มีชื่อว่า เทราปที สัตยภามาสํวาท 8 K- f; b3 ` U$ f' K
" n, P7 _3 f9 e6 {; K
และข้อความในเทราปทีสัตยภามาสํวาทนี้แล คือเรื่องแท้ๆ ทั้งหมดในกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ จะต่างกันนิดหนึ่งก็ตรงที่ว่า นางกฤษณาในมหาภารตะนี้ไม่มีน้องสาว มีแต่น้องชายคนเดียว เพราะฉะนั้นในมหาภารตะ นางกฤษณาจึงไม่มีเรื่องราวตอนใดที่จะต้องสอนน้อง มีแต่การสนทนากันฉันเพื่อนสนิท คือนางสัตยภามาเท่านั้น บทสนทนาระหว่างหญิงทั้งสองดังกล่าวนี้ มีเนื้อหาสาระคล้ายคลึงกับเนื้อเรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของไทย มากที่สุดโดยอาจสรุปข้อความเป็น 3 ตอนด้วยกัน คือตอนแรกว่าด้วยลักษณะหญิงชั่ว ตอนที่ 2 ว่าด้วยลักษณะหญิงที่ดี และตอนที่ 3 ที่มีข้อความยาวที่สุดคือคำสอนที่ว่าหญิงผู้มีสามีแล้วควรปรนนิบัติสามีของตนอย่างไร สามีจึงจะมีความสุข และผลของการปฏิบัติบำรุงสามีอย่างดีเลิศนี้เองจะเป็นผลส่งเสริมให้ตัวผู้ปฏิบัติเองมีความสุขความเจริญตามไปด้วย * L$ H2 A+ P- W) J r' s3 t
บทสนทนาเชิงสอนแนะใน เทราปทีสัตยภามาสํวาท นั้น มีลักษณะอันเป็น โลกทรรศน์ของฮินดู เพราะฉะนั้นย่อมมีความแตกต่างจากคำสอนในกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของไทย อยู่บ้างเป็นธรรมดา แต่เป็นความแตกต่างในข้อปลีกย่อยเล็กน้อย แต่ในส่วนใหญ่อันเป็นแกนร่วมกันระหว่างฉบับของอินเดียกับฉบับของไทยมีความคล้ายคลึงกันมากที่สุด โดยเฉพาะการเน้นเรื่อง "ภักดี" ที่ฝ่ายภรรยาพึงยึดถือเป็นคุณธรรมประจำใจในการปรนนิบัติสามีของตน ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจเป็นที่เหยียดหยามของคนไทยรุ่นปัจจุบัน เพราะดูเป็นการ "หมอบราบคาบแก้ว" เกินไปจนทำให้เสียสิทธิอิสระโดยชอบธรรมของผู้หญิง ต้องถูกกดถูกขีดวงให้จำกัดแคบลงไปราวกับทาส และลักษณะอย่างนี้ก็เข้าหลัก "เมียทาส" อันเป็นภรรยาประเภทหนึ่งที่อ้างถึงในวรรณคดีบาลีอีกด้วย 4 Y- D+ \$ `5 s6 z' M' N- x) s' Q
ตอนขึ้นต้นบทสนทนาของนางกฤษณากับนางสัตยภามากับกฤษณาสอนน้องมีลักษณะเหมือนกัน คือนางสัตยภามามีความข้องใจว่าตนเองมีสามีคือพระกฤษณะ ซึ่งนางก็มีความสุขอยู่บ้าง แต่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับความเจ้าชู้ของสามี ซึ่งนางต้องคอยติดตามสอดส่องบ่อยๆ นางอยากให้สามีจริงใจต่อนางกฤษณาอย่างแท้จริง อันเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งหลายโดยทั่วไป นางกฤษณามีเวทมนต์ศักดิ์สิทธิ์อันใดหรือที่จะใช้ผูกมัดจิตใจสามีได้ ถ้ามีก็ข้อให้สอนแก่ตนด้วย เรื่องนี้นางจิรประภาซึ่งเป็นน้องสาวของนางกฤษณาในกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ก็กล่าวแก่นางกฤษณาในทำนองเดียวกัน ซึ่งทั้งฉบับอินเดียกับฉบับไทยก็แสดงคำตอบของนางกฤษณาเหมือนกันว่า นางไม่เคยใช้เวทมนต์กระทำให้สามีรัก และถ้าบังเอิญจะมีก็ไม่คิดจะใช้ เพราะการทำเช่นนั้นก่อให้เกิดโทษมากกว่าจะเป็นคุณ แล้วเป็นการกระทำของหญิงชั่วไม่พึงยึดถือเป็นแบบอย่าง # T& h; l9 R) s" E
ใน เทราปทีสัตยภามาสํวาท นางกฤษณาได้กล่าวอธิบายเรื่องนี้ว่า 9 z* b" l' ]1 M0 i
3 f* G" k+ \. _8 N) Z- H/ `
"ดูกรนางสัตยภามา ซึ่งท่านถามเรานี้ ได้ถามถึงความประพฤติของหญิงชั่ว เราจะตอบท่านอย่างไรได้ในหนทางซึ่งหญิงที่ชั่วประพฤติ ความประพฤติเช่นนั้นไม่สมควรแก่ท่าน ถ้าเราจะตอบตามคำที่ท่านถามก็ดี หรือท่านจะสงสัยเราในเรื่องเหล่านี้ก็ดี เป็นการไม่สมควรเลยที่ท่านเป็นผู้มีปัญญาเป็นภรรยาที่รักของกฤษณะ เมื่อสามีทราบความว่าภรรยาของตนชอบใช้ยาเป็นเครื่องประกอบในเรื่องนี้เมื่อใด ในชั่วโมงนั้นก็ย่อมเกิดความเกรงกลัวภรรยาผู้นั้นเหมือนอย่างงูซึ่งซ่อนตัวอยู่ในห้องนอน บุรุษที่ได้ความลำบากอยู่ด้วยความกลัว จะได้ความสงบระงับมาแต่ไหน สามีผู้ใดซึ่งจะปราบให้กลัวเกรงภรรยาได้ด้วยเสน่ห์เล่ห์ลมของเมียนั้นย่อมไม่มี เราย่อมได้ยินความป่วยไข้อันเป็นที่น่าสงสารอันเกิดขึ้นด้วยศัตรูทำ...ผู้หญิงบางคนทำให้ชายเป็นมาน เป็นโรคเรื้อน ผอมแห้ง ทรุดโทรม ไม่มีแรง มึนซึม เสียจักษุ หูหนวก หญิงเหล่านี้ย่อมเดินไปแต่ในหนทางที่บาป จึงได้ทำให้เกิดอันตรายแก่สามี แต่ภรรยาที่ดีแล้วไม่ควรเลยที่จะทำอันตรายแก่สามีของตัว..." (4)
(สำนวนแปลพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ! L7 z% |0 R' I; J8 J$ _6 s. q/ }' V
จากนั้นก็มีข้อความต่อไปยืดยาว รวมข้อความสนทนาทั้งหมดอยู่ใน 2 ตอนใหญ่ๆ คือ ตอนที่ 232 และ 233 แห่งวนบรรพ มหาภารตะทั้งสองตอนนี้ ผู้สนใจจะอ่านได้จากสำนวนแปลพระราชนิพนธ์ดังกล่าวซึ่งทรงไว้เมื่อ พ.ศ. 2433
# N! W- Z$ z5 o" n. u
นางกฤษณาผู้เป็นตัวเอกในเรื่องนี้ถือว่าเป็นนางแก้วผู้หนึ่งในวรรณคดีสันสกฤต เป็นที่นับถือยกย่องของสามีคือกษัตริย์ปาณฑพทั้งห้าจนตลอดชีวิต แม้สามีจะได้ภรรยาอื่นอีกหลายคนในภายหลังก็มิได้คลายความรักความยกย่องในตัวนางเลย คงนับถือว่านางเป็นภริยาเอกของพวกตนยิ่งกว่าภรรยาอื่นๆ นางมีโอรสอันเกิดจากสามีทั้งห้า เรียงตามลำดับคือ โอรสอันเกิดจากยุธิษฐิระ มีชื่อว่า ประติวินธัย โอรสอันเกิดจากภีมะมีชื่อ ศรุตโสม โอรสอันเกิดจากอรชุนชื่อว่า ศรุตเกียรติ โอรสอันเกิดจากนกุลชื่อ ศตานีก และโอรสอันเกิดจากสหเทพชื่อ ศรุตกรรมัน $ ?$ D$ S: s& u$ p8 @$ k
ตัวนางกฤษณาเองมีชื่ออ้างหลายชื่อในมหาภารตะ คือ กฤษณา เทราปที นิตยเยาวนา ปาญจาลี ปัญจมี ไสรินธรีปารษตี ยาชญเสนี , [% ^& c0 _% f9 e' B K2 O
นางกฤษณาในวัยชราได้ติดตามสามีทั้งห้าจาริกแสวงบุณย์ไปจนถึงภูเขาเมรุ (พระสุเมรุ) เพื่อจะขึ้นไปสู่นครอมราวดี ของพระอินทร์ในสวรรค์ชั้นตรัยตรึงศ์ แต่เมื่อบรรลุถึงเชิงเขาพระเมรุ นางกฤษณาได้ล้มลงและสิ้นชีวิตเป็นคนแรก
7 p# o. C+ X% ]# J: Z- R
เรื่อง กฤษณาสอนน้อง เป็นวรรณกรรมประเภทคำฉันท์ เชื่อได้แน่นอนว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ต้นฉบับเดิมหายสูญไป ระยะเวลาที่แต่งจะเป็นสมัยอยุธยาตอนต้น หรืออยุธยาตอนปลาย เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไปได้ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลสองประการ คือ ( {# O$ r/ `% A5 t! I. ~" q! D
1 n' h- y; v: @) r4 K" o$ f
ประการที่หนึ่ง ไม่มีต้นฉบับตัวเขียนสมัยอยุธยาหลงเหลืออยู่เลย
) z1 c Z; ]* A
ประการที่สอง เรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์นี้มีตกทอดมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในรูปแบบของ วรรณกรรมมุขปาฐะ คือท่องจำและถ่ายทอดกันมาด้วยการเล่าปากเปล่า ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องที่ท่องจำกันมาจึงผิดเพี้ยนกันไป และหายตกหล่นไปมากต่อมาก จะเอาเนื้อหาสาระที่บริบูรณ์เป็นแก่นสารก็ไม่ได้ ประกอบทั้งภาษาสำนวนที่แต่งก็ไม่ได้อยู่ในขั้นดี กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นสำนวนบ้านนอก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรด ทรงพระราชดำริว่าเนื้อเรื่องดี แต่ภาษาไม่ดีพอ น่าจะแต่งใหม่ให้ดีกว่านั้น จึงทรงอาราธนาให้ กวีแก้วแห่งรัตนโกสินทร์ คือ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ ทรงแต่งใหม่ทั้งหมด แต่รักษารูปแบบคำประพันธ์คือคำฉันท์ไว้ตามเดิม ความปรากฏในบทปรารถเบื้องต้นของ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ซึ่งกรมหมื่นนุชิตชิโนรส (ต่อมาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส) ทรงบรรยายไว้ว่า
แต่ตูผู้จะนิพนธ์ยุบลบทบรรหาร
แห่งราชโยงการ ดำรัส + {/ u7 A8 y8 ?/ H
/ z4 V+ r/ i& t$ e; K: J2 G
ให้รังสฤษดิกฤษณาสุภาษิตสวัสดิ์ ' y9 ~2 D8 F2 s+ L" h8 r$ \
เลบงฉันท์รำพันอรรถ ภิปราย
แปลกแปลงแสดงพจนเพรงเชลงลักษณะบรรยาย 2 r0 s, q+ h+ k' G* X
ชาวชนบทธิบาย ประดาษ 2 j* n8 P' m5 M) s V
% W9 r/ K. V5 _5 A8 ]- Q
ไป่สมเสนอบเสมอสมานมุขประกาศ
อโยธยาคณาปราชญ์ ทั้งมวญ
รังสรรค์สารพอจักขานจักคู่พจนควร ! i8 }( s" ~4 T7 @0 E
เสนอสนองสำนวนเนือง กระวี ( X' T- i# S' b3 e: k0 b+ K
หวังโอวาทอนุสาสนุสนธิสกลสตรี , Y1 R: v* g. d1 u
แสวงสวามิภักดี ฤวาย (1)
ความจริงในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีก็มีกวีฝีปากดีคือ พระยาราชสุภาวดี ซึ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ไปช่วยราชการเจ้าพระยานครที่เมืองนครศรีธรรมราช ได้แต่งกฤษณาสอนน้องขึ้นใหม่ มีภิกษุอินท์ เมืองนครศรีธรรมราชเป็นผู้ช่วย แต่จะแต่งแน่นอนในปีใดไม่ทราบ เพราะเรื่องราวของพระยาราชสุภาวดีที่ออกไปกำกับราชการเมืองนครศรีธรรมราชนั้นเป็นที่รู้จักกันแต่เพียงว่าอยู่ในสมัยกรุงธนบุรี อย่างไรก็ดี กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ สมัยกรุงธนบุรีดังกล่าวนี้มิได้ปรากฏ ณ ที่ใดๆ จึงไม่มีผู้ใดอ้างถึงในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงเป็นที่แน่นอนว่ากรมหมื่นนุชิตชิโนรส มิได้ทรงทราบหรือแม้แต่จะทรงระแคะระคายว่ามี กฤษณาสอนน้องคำฉันท์สมัยธนบุรี เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่แล้ว แม้ในสมัยต่อมาหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วช้านานก็ยังไม่มีใครรู้เรื่องการแต่งกฤษณาสอนน้องสมัยธนบุรี จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2489 กรมศิลปากร ได้ต้นฉบับเรื่องนี้มาและตีพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรก เรื่องจึงปรากฏว่า ก่อนที่กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส จะทรงนิพนธ์กฤษณาสอนน้องคำฉันท์อันเลื่องลือมาจนทุกวันนี้นั้น มีกวีอื่นแต่งฉบับสมบูรณ์เช่นเดียวกันที่เมืองนครศรีธรรมราช แต่งมาก่อนแล้วอย่างน้อยที่สุดก็ 60 ปีขึ้นไป เพราะ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ฉบับพระยาราชสุภาวดีและภิกษุอินท์นั้นแต่งเมื่อ พ.ศ. 2319 ส่วนฉบับกรมสมเด็จพระปรมานุชิติโนรสแต่งในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2397 (ปีที่รัชกาลที่ 3 ขึ้นครองราชย์) ถึง พ.ศ. 2377 อันเป็นปีที่รัชกาลที่ 3 ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ เสร็จเรียบร้อยและโปรดเกล้าฯ ให้จารึกเรื่องต่าง ๆ บนแผ่นหินอ่อน ประดิษฐานไว้ที่วัดนั้น กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ได้จารึกไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ เพราะฉะนั้นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (สมัยเมื่อทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส) จะต้องทรงแต่งกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ในช่วง 10 ปีนี้ คือระหว่าง พ.ศ. 2367 - 2377 อย่างแน่นอน * r6 e! b* S5 Z+ J5 u
ส่วนเรื่องที่ว่า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ จะได้ทรงพบเห็นฉบับนครศรีธรรมราชมาก่อน และทรงแต่งเลียนแบบนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพระยาราชสุภาวดีไม่ใช่กวีบ้านนอกอย่างที่กรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ ทรงอ้างถึงในคำปรารภต้นเรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของพระองค์ท่านอย่างแน่นอนและอีกประการหนึ่ง กรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ ทรงเป็นกวีเอกของชาติไทย และทรงเป็นเอตทัคคะในการแต่งฉันท์เป็นที่รู้กันทั้งแผ่นดิน การที่จะทรงแต่งเลียนแบบเลียนสำนวนของกวีผู้อื่นจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะเท่ากับทรงทำลายพระเกียรติยศและความภาคภูมิพระทัยของพระองค์ให้สิ้นไป กวีระดับชาติอย่างพระองค์ย่อมจะทรงทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด แต่ในคำนำหนังสือกฤษณาสอนน้องฉบับพระยาราชสุภาวดีและภิกษุอินท์ที่กรมศิลปากรตีพิมพ์ เมื่อ พ.ศ. 2498 มีข้อความบางตอนซึ่งแสดงความอยุติธรรมต่อกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสอย่างยิ่ง คือ
"...จึงน่าจะเห็นว่า ฉบับพระนิพนธ์สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส...อาจทรงแก้ไขดัดแปลงมาจากฉบับที่ตีพิมพ์ในสมุดเล่มนี้ ดังที่ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้เป็นคำชี้แจงในเบื้องต้น แห่งคำฉันท์กฤษณาสอนน้องฉบับสำนวนพระองค์ท่าน" (2) - L+ t" D7 ^/ t, o
7 y) l2 P/ v0 G
เรื่องนี้มีผู้ไม่เห็นด้วยมากมาย และมีผู้ตอบโต้บางท่าน เช่น พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี มหาเถระ) ได้เขียนโต้แย้งคำนำของกรมศิลปากรไปแล้วอย่างละเอียดพิสดาร เรื่องก็ยุติกันไป : R$ F" z1 ^5 z. e6 {2 [
0 N0 u1 G2 q# s$ e, l
ปัญหาเรื่องที่มาของเรื่องกฤษณาสอนน้องนี้ ดูจะไม่เป็นปัญหาที่จะต้องคำนึงถึงในสมัยอยุธยาตลอดมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะผู้อ่านต่างก็คิดแต่เพียงว่าคงจะเป็นนิทานโบราณ หรืออย่างวิเศษก็คงเป็นชาดกเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น มิได้คิดเลยไปถึงว่าถ้าเป็นชาดก เหตุใดแก่นเรื่องจึงเป็นเรื่อง ผู้หญิงสอนผู้หญิง ในเรื่องการปรนนิบัติสามี แทนที่จะเป็นเรื่องสอนธรรมะในแง่ใดแง่หนึ่ง อันจะเป็นลักษณะของชาดกทั่วไป กาลล่วงเลยมาจนถึงรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเฉลียวพระทัยว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีที่มาจากชาดก เพราะเนื้อหาสาระของเรื่องไม่ชวนให้เข้าใจไปในทำนองนั้น ได้โปรดเกล้าฯ ให้ พระเทพโมลี ผู้เป็นปราชญ์ทางพระไตรปิฎกช่วยสอบดูในพระไตรปิฎก ก็ได้ความว่าใน นิบาตชาดก เรื่อง กุณาลชาดก อันเป็นชาดกขนาดยาวประกอบด้วยเรื่องสั้น ๆ หลายเรื่องมารวมกัน เรื่องสั้นแต่ละเรื่องในกุณาลชาดกนั้นล้วนกล่าวถึงความชั่วของผู้หญิง ในแง่ต่าง ๆ เรื่องของนางกฤษณาตามท้องเรื่องว่ามีสามี 5 คน นั้นมีอ้างถึงจริงในกุณาลชาดก เรียกชื่อตามบาลีว่า กัณหา และตามเรื่องในกุณาลชาดกมีข้อความกล่าวถึงนางในฐานะหญิงชั่ว และปรักปรำนางว่ามักมากในกามวิสัยขนาดมีสามีถึง 5 คนแล้วยังไม่เพียงพอ กลับทำชู้กับชายเปลี้ยอีก ฉะนั้นนางกัณหาในกุณาลชาดกย่อมไม่ใช่ตัวอย่างของหญิงที่ดีแน่นอน เมื่อตัวเองเป็นคนชั่วแล้วจะไปสั่งสอนคุณธรรมความดีแก่ผู้อื่นกระไรได้ ด้วยเหตุนี้สรุปตามเหตุผลได้ว่า เรื่องนางกัณหาหญิงชั่วในกุณาลชาดกย่อมไม่ใช่ที่มาของกฤษณาสอนน้องคำฉันท์แน่ๆ
เมื่อวินิจฉัยจากกุณาลชาดกไม่ได้ พระเทพมุนี พระราชาคณะผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งได้ถวายความเห็นว่า เรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์นั้น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ อาจทรงนำเรื่องนางกัณหาในกุณาลชาดกที่มีลักษณะเป็นหญิงเลวนั้นมาเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ ให้มีคุณลักษณะเป็นหญิงดี สามารถสั่งสอนคนอื่นให้เป็นคนดีเช่นตนได้ แต่เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเห็นด้วย & w: g( V. U5 h, M& W
ในที่สุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรึกตรองด้วยพระปรีชาญาณ หาสาเหตุนอกพระบาลี และมีพระราชดำริว่าคงเป็นเรื่องที่มีมาในวรรณคดีสันสฤกตมากกว่า ถ้าเป็นไปตามแนวพระราชดำรินี้ บางทีอาจพบเรื่องนางกฤษณาในมหากาพย์มหาภารตะก็ได้ เพราะเรื่องมหาภารตะอันมีความยาวถึงแสนโศลกนั้นมีตัวนางเอกชื่อนางกฤษณา หรือเทราปที ทรงพระราชวินิจฉัยว่า
5 [& O- u6 k T& i+ _% R
"...คิดเห็นว่าเรื่องต้นของนางกฤษณาสอนน้องคงจะมาจากที่อื่น เป็นแต่ชื่อเสียงจะขาดวิ่น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตจะทรงแต่งให้บริบูรณ์ดี จึงได้เก็บชื่อในบาลีมาซ่อมแซมลง ดีร้ายจะมีมาแต่หนังสือมหาภารตะ ซึ่งเป็นเรื่องรวบรวมนิทานเก่าและลัทธิต่างๆ ที่ถือกันอยู่ในมัชฌิมประเทศก่อนเวลาพุทธกาล จึงได้อ่านหนังสือมหาภารตะเสาะแสวงหาความจริงอันนี้ จนบัดนี้มาพบเรื่องนั้นสมประสงค์แล้ว จะขอยืนยันได้ว่า กฤษณาสอนน้องที่มาแต่งเป็นคำฉันท์นั้นไม่ได้มาจากบาลี เราคงจะได้มาจากพราหมณ์ ซึ่งมาเป็นครูบาอาจารย์ของเราแต่ก่อนเหมือนเรื่องรามเกียรติ์เป็นแน่..." (3) ; V, ?: t# R; }1 x
l r: D7 [0 a8 l% N/ b7 {. s% A1 j
พระบรมราชวินิจฉัยนี้ได้ไขแสงสว่างต่อปัญหาที่ไม่มีใครทราบมาหลายศตวรรษให้เป็นที่รู้อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถติดตามเรื่องกฤษณาสอนน้อง ไปจนถึงที่สุด ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงชี้ทางให้โดยเริ่มต้นจากจุดที่ถูกต้อง คือ เริ่มที่เรื่องมหาภารตะนี้เอง
d5 n: D F" [! T
มหากาพย์มหาภารตะ วนบรรพ เล่าเรื่องว่า นางกฤษณา หรือ นางเทราปที ผู้เป็นราชธิดาแห่งท้าวทุรบทแห่งนครปัญจาล ได้เป็นมเหสีของกษัติย์ปาณฑพ 5 องค์ คือ ยุธิษฐิระ ภีมะ อรชุน นกุล และ สหเทพ ต่อมากษัติย์พี่น้องทั้ง 5 องค์แพ้พนัน ทุรโยธน์ เจ้าชายแห่งเชื้อสายเการพ อันอยู่ในราชสกุลจันทรวงศ์เดียวกัน ต้องถูกเนรเทศไปเดินป่า 12 ปี ปีที่ 13 ต้องปลอมตัวมิให้ใครจำได้ ถ้ามีผู้จำได้ต้องเดินป่าอีก 14 ปี กษัตริย์ปาณฑพทั้งห้า พร้อมด้วยนางกฤษณาได้ร่อนเร่พเนจรไปจนถึงภูเขาหิมาลัย และเข้าไปสู่เมืองอลกาซึ่งเป็นนครหลวงของท้าวไพศรพณ์ (หรือเวสสุวัณณ์) ส่วนอรชุนเดินทางต่อไปจนถึงสวรรค์ชั้นตรัยตรึงศ์ของพระอินทร์ หลังจากนั้นก็เดินทางกลับมายังป่าชื่อ กามยกะ ได้รับการต้อนรับจากฤษีและพราหมณ์ ทั้งปวงที่อยู่ในป่ากามกยะเป็นอย่างดี ฝ่ายพระกฤษณะ (นารายณ์อวตารปางที่ 8) ซึ่งครองนครทวารกา หรือทวารวดี ทราบข่าวก็มาเยี่ยมโดยพานางสัตยภามา มเหสีคนโปรดผู้เป็นราชธิดาของพระเจ้าสัตราชิตมาด้วย (พระกฤษณะมีชายาหมื่นหกพันนาง และทรงแบ่งภาคเป็นรูปพระกฤษณะเหมือนกันจำนวนหมื่นหกพันองค์ เพื่อให้ชายาทุกคนเข้าใจว่าพระองค์เป็นสามีของนางแต่ผู้เดียว) ทั้งนางกฤษณาและนางสัตยภามาต่างก็เป็นเพื่อนสนิทกันและถ้อยทีถ้อยปราศรัยสนทนากัน บทสนทนาของนางทั้งสอง ณ ป่ากามยกะนี้เป็นตอนเล็กๆ ตอนหนึ่งที่รวมอยู่ในเรื่องใหญ่คือมหาภารตะ ข้อความตอนนี้มีชื่อว่า เทราปที สัตยภามาสํวาท 8 K- f; b3 ` U$ f' K
" n, P7 _3 f9 e6 {; K
และข้อความในเทราปทีสัตยภามาสํวาทนี้แล คือเรื่องแท้ๆ ทั้งหมดในกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ จะต่างกันนิดหนึ่งก็ตรงที่ว่า นางกฤษณาในมหาภารตะนี้ไม่มีน้องสาว มีแต่น้องชายคนเดียว เพราะฉะนั้นในมหาภารตะ นางกฤษณาจึงไม่มีเรื่องราวตอนใดที่จะต้องสอนน้อง มีแต่การสนทนากันฉันเพื่อนสนิท คือนางสัตยภามาเท่านั้น บทสนทนาระหว่างหญิงทั้งสองดังกล่าวนี้ มีเนื้อหาสาระคล้ายคลึงกับเนื้อเรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของไทย มากที่สุดโดยอาจสรุปข้อความเป็น 3 ตอนด้วยกัน คือตอนแรกว่าด้วยลักษณะหญิงชั่ว ตอนที่ 2 ว่าด้วยลักษณะหญิงที่ดี และตอนที่ 3 ที่มีข้อความยาวที่สุดคือคำสอนที่ว่าหญิงผู้มีสามีแล้วควรปรนนิบัติสามีของตนอย่างไร สามีจึงจะมีความสุข และผลของการปฏิบัติบำรุงสามีอย่างดีเลิศนี้เองจะเป็นผลส่งเสริมให้ตัวผู้ปฏิบัติเองมีความสุขความเจริญตามไปด้วย * L$ H2 A+ P- W) J r' s3 t
บทสนทนาเชิงสอนแนะใน เทราปทีสัตยภามาสํวาท นั้น มีลักษณะอันเป็น โลกทรรศน์ของฮินดู เพราะฉะนั้นย่อมมีความแตกต่างจากคำสอนในกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของไทย อยู่บ้างเป็นธรรมดา แต่เป็นความแตกต่างในข้อปลีกย่อยเล็กน้อย แต่ในส่วนใหญ่อันเป็นแกนร่วมกันระหว่างฉบับของอินเดียกับฉบับของไทยมีความคล้ายคลึงกันมากที่สุด โดยเฉพาะการเน้นเรื่อง "ภักดี" ที่ฝ่ายภรรยาพึงยึดถือเป็นคุณธรรมประจำใจในการปรนนิบัติสามีของตน ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจเป็นที่เหยียดหยามของคนไทยรุ่นปัจจุบัน เพราะดูเป็นการ "หมอบราบคาบแก้ว" เกินไปจนทำให้เสียสิทธิอิสระโดยชอบธรรมของผู้หญิง ต้องถูกกดถูกขีดวงให้จำกัดแคบลงไปราวกับทาส และลักษณะอย่างนี้ก็เข้าหลัก "เมียทาส" อันเป็นภรรยาประเภทหนึ่งที่อ้างถึงในวรรณคดีบาลีอีกด้วย 4 Y- D+ \$ `5 s6 z' M' N- x) s' Q
ตอนขึ้นต้นบทสนทนาของนางกฤษณากับนางสัตยภามากับกฤษณาสอนน้องมีลักษณะเหมือนกัน คือนางสัตยภามามีความข้องใจว่าตนเองมีสามีคือพระกฤษณะ ซึ่งนางก็มีความสุขอยู่บ้าง แต่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับความเจ้าชู้ของสามี ซึ่งนางต้องคอยติดตามสอดส่องบ่อยๆ นางอยากให้สามีจริงใจต่อนางกฤษณาอย่างแท้จริง อันเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งหลายโดยทั่วไป นางกฤษณามีเวทมนต์ศักดิ์สิทธิ์อันใดหรือที่จะใช้ผูกมัดจิตใจสามีได้ ถ้ามีก็ข้อให้สอนแก่ตนด้วย เรื่องนี้นางจิรประภาซึ่งเป็นน้องสาวของนางกฤษณาในกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ก็กล่าวแก่นางกฤษณาในทำนองเดียวกัน ซึ่งทั้งฉบับอินเดียกับฉบับไทยก็แสดงคำตอบของนางกฤษณาเหมือนกันว่า นางไม่เคยใช้เวทมนต์กระทำให้สามีรัก และถ้าบังเอิญจะมีก็ไม่คิดจะใช้ เพราะการทำเช่นนั้นก่อให้เกิดโทษมากกว่าจะเป็นคุณ แล้วเป็นการกระทำของหญิงชั่วไม่พึงยึดถือเป็นแบบอย่าง # T& h; l9 R) s" E
ใน เทราปทีสัตยภามาสํวาท นางกฤษณาได้กล่าวอธิบายเรื่องนี้ว่า 9 z* b" l' ]1 M0 i
3 f* G" k+ \. _8 N) Z- H/ `
"ดูกรนางสัตยภามา ซึ่งท่านถามเรานี้ ได้ถามถึงความประพฤติของหญิงชั่ว เราจะตอบท่านอย่างไรได้ในหนทางซึ่งหญิงที่ชั่วประพฤติ ความประพฤติเช่นนั้นไม่สมควรแก่ท่าน ถ้าเราจะตอบตามคำที่ท่านถามก็ดี หรือท่านจะสงสัยเราในเรื่องเหล่านี้ก็ดี เป็นการไม่สมควรเลยที่ท่านเป็นผู้มีปัญญาเป็นภรรยาที่รักของกฤษณะ เมื่อสามีทราบความว่าภรรยาของตนชอบใช้ยาเป็นเครื่องประกอบในเรื่องนี้เมื่อใด ในชั่วโมงนั้นก็ย่อมเกิดความเกรงกลัวภรรยาผู้นั้นเหมือนอย่างงูซึ่งซ่อนตัวอยู่ในห้องนอน บุรุษที่ได้ความลำบากอยู่ด้วยความกลัว จะได้ความสงบระงับมาแต่ไหน สามีผู้ใดซึ่งจะปราบให้กลัวเกรงภรรยาได้ด้วยเสน่ห์เล่ห์ลมของเมียนั้นย่อมไม่มี เราย่อมได้ยินความป่วยไข้อันเป็นที่น่าสงสารอันเกิดขึ้นด้วยศัตรูทำ...ผู้หญิงบางคนทำให้ชายเป็นมาน เป็นโรคเรื้อน ผอมแห้ง ทรุดโทรม ไม่มีแรง มึนซึม เสียจักษุ หูหนวก หญิงเหล่านี้ย่อมเดินไปแต่ในหนทางที่บาป จึงได้ทำให้เกิดอันตรายแก่สามี แต่ภรรยาที่ดีแล้วไม่ควรเลยที่จะทำอันตรายแก่สามีของตัว..." (4)
(สำนวนแปลพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ! L7 z% |0 R' I; J8 J$ _6 s. q/ }' V
จากนั้นก็มีข้อความต่อไปยืดยาว รวมข้อความสนทนาทั้งหมดอยู่ใน 2 ตอนใหญ่ๆ คือ ตอนที่ 232 และ 233 แห่งวนบรรพ มหาภารตะทั้งสองตอนนี้ ผู้สนใจจะอ่านได้จากสำนวนแปลพระราชนิพนธ์ดังกล่าวซึ่งทรงไว้เมื่อ พ.ศ. 2433
# N! W- Z$ z5 o" n. u
นางกฤษณาผู้เป็นตัวเอกในเรื่องนี้ถือว่าเป็นนางแก้วผู้หนึ่งในวรรณคดีสันสกฤต เป็นที่นับถือยกย่องของสามีคือกษัตริย์ปาณฑพทั้งห้าจนตลอดชีวิต แม้สามีจะได้ภรรยาอื่นอีกหลายคนในภายหลังก็มิได้คลายความรักความยกย่องในตัวนางเลย คงนับถือว่านางเป็นภริยาเอกของพวกตนยิ่งกว่าภรรยาอื่นๆ นางมีโอรสอันเกิดจากสามีทั้งห้า เรียงตามลำดับคือ โอรสอันเกิดจากยุธิษฐิระ มีชื่อว่า ประติวินธัย โอรสอันเกิดจากภีมะมีชื่อ ศรุตโสม โอรสอันเกิดจากอรชุนชื่อว่า ศรุตเกียรติ โอรสอันเกิดจากนกุลชื่อ ศตานีก และโอรสอันเกิดจากสหเทพชื่อ ศรุตกรรมัน $ ?$ D$ S: s& u$ p8 @$ k
ตัวนางกฤษณาเองมีชื่ออ้างหลายชื่อในมหาภารตะ คือ กฤษณา เทราปที นิตยเยาวนา ปาญจาลี ปัญจมี ไสรินธรีปารษตี ยาชญเสนี , [% ^& c0 _% f9 e' B K2 O
นางกฤษณาในวัยชราได้ติดตามสามีทั้งห้าจาริกแสวงบุณย์ไปจนถึงภูเขาเมรุ (พระสุเมรุ) เพื่อจะขึ้นไปสู่นครอมราวดี ของพระอินทร์ในสวรรค์ชั้นตรัยตรึงศ์ แต่เมื่อบรรลุถึงเชิงเขาพระเมรุ นางกฤษณาได้ล้มลงและสิ้นชีวิตเป็นคนแรก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น